ฟางหลิงเหมยนศ.จีนหัวใจไทย
การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนกำลังจะเกิดขึ้น โดยจะมีการแลกเปลี่ยนการศึกษาและแรงงานได้อย่างอิสระ การแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างประเทศจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้นักศึกษาได้ปรับตัวสู่อนาคตมากยิ่งขึ้น วันนี้ Life On Campus อาสาพาไปทำความรู้จักกับสาวจีนคนหนึ่งที่ได้เข้ามาเรียนสาขาวิชาภาษาไทยที่ประเทศไทย ผ่านโครงการการจัดการการศึกษานักศึกษานานาชาติ
เหมย หรือฟางหลิงเหมย นศ.แดนมังกรที่เข้าเรียนต่อที่มจษ.
เป็นภาพคุ้นเคยกันดีในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่างๆ ที่มักจะมีนักศึกษาชาวต่างชาติมาร่วมเรียนด้วย โดยเฉพาะสาวจีนที่ใส่ชุดนักศึกษาไทย เดินถือตำราเรียนไปมาหรือเสียงหัวเราะสดใจกับสำเนียงการพูดแปร่งหู ซึ่งนักศึกษาแดนมังกรเหล่านี้ เป็นนักศึกษาในโครงการจัดการการศึกษานักศึกษานานาชาติ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กับมหาวิทยาลัยชื่อดังต่างๆในประเทศจีน ที่จะส่งนักศึกษามาเรียนในระดับวุฒิบัตรวิชาภาษาไทย และปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ตลอดเวลา 4 ปี ที่ดำเนินโครงการนี้ สิ่งที่นักศึกษาจีนเหล่านี้ ได้แสดงให้เห้นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ และความพยายามในการเรียนภาษไทย แม้ว่าไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด แต่พวกเขาก็มีความมุ่งมั่นเต็มที่ที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อนำไปประกอบอาชีพในอนาคต
เหมย หรือ ฟางหลิงเหมย เป็นนักศึกษาจีนอีกคนที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นนั้น เพราะไม่เพียงความตั้งใจที่จะเรียนภาษาจีนให้รู้ลึกรู้จริง แต่เด็กสาวคนนี้ยังพยายามที่จะเติบโตเป็นผู่ใหญ่อย่างเต็มภาคภูมิผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างแดนอีกด้วย
เหมย เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาเรียนในมจษ. ว่า เธอเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยครูชนชาติกว่างซี เมืองหนานหนิง เดินทางมาศึกษาต่อระดับปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยมา 2 แล้ว ก่อนจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เคยมีความตั้งใจไว้ว่าเมื่อจบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วจะเรียนต่อเป็นครูสอนภาษาจีน เพราะเป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ แต่วันหนึ่งได้ทราบข่าวว่าคนจีนนิยมมาสอนภาษาจีนที่เมืองไทยเพราะรายได้ดีกว่า อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงาม ทำให้อยากมาท่องเที่ยวที่เมืองไทยด้วย เธอจึงตัดสินใจเดินทางมาเรียนภาษาไทยต้นตำรับที่สยามเมืองยิ้มแห่งนี้
"มหาวิทยาลัยครูชนชาติกว่างซีได้ลงนามทำสัญญากับมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยให้แก่นักศึกษาจีนที่สนใจมาเรียนต่อเมืองไทย ดิฉันคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี การเรียนภาษาต่างประเทศกับเจ้าของภาษาย่อมได้ผลดีกว่า ยิ่งมาเรียนที่ประเทศแม่จะทำให้เราเก่งและมีประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน จึงตัดสินใจมาเรียนต่อที่จันทรเกษม" เหมยกล่าว
เหมยเล่าอีกว่า การมาเรียนต่างแดนครั้งนี้ ผู้ปกครองไม่ค่อยสนับสนุน เพราะที่บ้านไม่ใช่คนมีฐานะดีนัก คุณพ่อ-คุณแม่ทำอาชีพเกษตรกร และการเรียนต่อที่ประเทศไทยนั้นจำเป็นจะต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะ แต่ญาติๆ ช่วยพูดกับพ่อว่าการมาเรียนที่ประเทศเจ้าของภาษาจะทำให้เรียนได้ดี มีโอกาสหางานทำมากกว่า และได้เปิดหูเปิดตาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่จะช่วยให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ กล้าแสดงออก มีความเชื่อมั่นในตนเอง
"เมื่อก่อนเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม และภาษาไทยตอนที่เคยเรียนอยู่ที่เมืองจีนนั้นไม่ค่อยดี เกือบสอบตกก็มี ญาติๆจึงอยากให้ดิฉันมาฝึกฝนตนเอง พ่อก็หยิบยืมเงินจากญาติๆมาให้เรียน ก็เพียงพอเฉพาะในส่วนของค่าเล่าเรียนเท่านั้น แต่อย่างอื่นก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นนอกจากเรียนแล้วก็ต้องแบ่งเวลาว่างมาทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้าน ซึ่งเงินบางส่วนที่ได้จากการทำงานก็ส่งกลับให้พ่อเอาไปใช้คืนญาติๆ" เหมยกล่าว
เหมยยอมรับว่า การเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกนี้ ทำเอาเธอหวั่นใจไม่น้อยและไม่มีความมั่นใจเพราะพูดภาษาไทยไม่เก่ง-ฟังไม่ทัน จึงทำให้ไม่กล้าพูดกับใคร ส่วนการเรียนก็ยากมาก สิ่งที่เรียนมาจากประเทศจีนคิดว่าถูกแล้ว แต่เมื่อมาเรียนกับเจ้าของภาษาจึงรู้ว่าบางอย่างก็ไม่ถูก การพูดบางครั้งก็ไม่เหมาะสม เนื่องจากคนไทยจะมีระดับการพูดที่แตกต่างกัน จึงพยายามอ่านหนังสือภาษาไทยมากๆ และได้รับความช่วยเหลือจาก ผศ.รุ่งทิพย์ พุ่มดนตรี ผอ.สำนักศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งลูกสาวของท่านเรียนภาษาจีน จึงมีโอกาสได้ฝึกพูดภาษาไทยกับลูกสาวท่าน บวกกับให้หนังสือมาอ่านบ่อยๆทำให้ใช้ภาษาไทยได้ดีขึ้น นอกจากนี้เพื่อนๆยังชวนไปเล่นบาสตอนเย็น ทำให้ได้พูดคุยกับเพื่อนคนไทยมากขึ้นด้วย
"วิธีการสอนของอาจารย์ทุกท่าน ก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ภาษาไทยของเราเก่งขึ้น ทุกท่านใจดี หากนักศึกษาจีนพูดภาษาไทยผิดหรือใช้คำที่ไม่ถูกต้อง อาจารย์จะคอยแก้พร้อมอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้เสมอ ทำให้เรากล้าพูดมากขึ้น อย่างตอนแรกๆ เราจะไม่กล้าออกไปพูดในชั้นเรียน เวลาพูดจะตื่นเต้นตัวสั่น แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ" เหมยย้ำ
นอกจากนี้ เหมยยังเล่าถึงชีวิตที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วยว่า เนื่องจากทางบ้านไม่ค่อยมีเงิน จะรอให้พ่อแม่ส่งเสียอย่างเดียวคงไม่ได้ ก็มีโอกาสไปทำงานพิเศษเป็นนักศึกษาช่วยงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ได้สอนภาษาจีนที่สถาบันสอนภาษา รวมถึงการไปฝึกงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนทำให้มีรายได้พิเศษ ทำให้เหนื่อยมากขึ้นแต่ต้องทำเพราะต้องการเงินมาส่งเสียตัวเอง ในขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นประสบการณ์ ยิ่งทำงานก็ยิ่งได้ฝึกวิชาชีพให้กับตัวเองมากขึ้น ทำให้เติบโตเป็นคนที่มีความสามารถ
"การทำงานมากๆ ทำให้ดิฉันได้ค้นพบตัวเองจากเดิมที่ฝันอยากเป็นครู แต่ตอนนี้ค้นพบว่าตัวเองอยากทำงานในบริษัทเอกชน ด้านการแปลเอกสารและติดต่อประสานงานมากกว่า เพราะรู้สึกว่าเรามีความถนัดตรงนี้ ตอนนี้มีบริษัทแห่งหนึ่งแถวสมุทรปราการติดต่อให้เข้าไปทดลองงานดู หากผ่านก็จะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำค่ะ รู้สึกดีใจและภูมิใจเพราะจะได้ใช้ความรู้ที่เราเรียนมาประกอบอาชีพ หากเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ก็เสียดายความรู้" เหมยกล่าว
เหมยทิ้งท้ายว่า การมาเรียนที่เมืองไทย 2 ปี ทำให้ได้ฝึกฝนจิตใจ สมาธิ ความกล้าหาญของตนเอง ได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นที่แตกต่างจากเมืองจีน รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ซึ่งแน่นอนว่านอกเหนือจากโชคแล้วก็เป็นเพราะความพยายามของเราด้วย แม้วันนี้จะเรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่เธอไม่คิดจะหยุดเรียนรู้ภาษาไทยให้เก่งกว่านี้ และมุ่งมั่นว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้เพื่อไม่ให้พ่อ แม่ และอาจารย์ผิดหวัง รวมถึงตัวเองด้วย
** ข้อมูลจากจันทร์กระจ่างฟ้า มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ฉบับที่39 (ประจำวันที่ 28ก.พ.- 6 มี.ค)
ความมุ่งมั่น สู่ความสำเร็จ ฟางหลิงเหมยนศ.จีนหัวใจไทย
คัดสำเนาจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์
No comments:
Post a Comment